ฟิลเลอร์ คืออะไร

ปลอดภัยมั้ย อันตรายหรือไม่ ฉีดแล้วเป็นยังไง

 
 

 

ทุกวันนี้ คงจะไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่าไม่รู้จักการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ที่เราเรียกกันว่า ฟิลเลอร์ (Filler) แต่ตัวหมอเองนั้นทราบมาว่ายังมีหลายๆคน ยังมีความเข้าใจที่ผิดว่า การฉีดฟิลเลอร์นั้นน่ากลัว ดูอันตราย ฉีดแล้วมักบวม เป็นก้อน ผลข้างเคียงเยอะ หรือหลายๆคนอาจคิดว่า อายุเรายังน้อยไป อาจยังไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

ดังนั้นในบทความนี้ หมอจึงขอมาเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของ Filler อย่างเจาะลึก ละเอียดทุกซอกทุกมุม เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้จักเรื่องราวของ ฟิลเลอร์ และมีความมั่นใจกับการทำฟิลเลอร์ให้มากขึ้นครับ

ฟิลเลอร์ คืออะไร

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มชนิดหนึ่งครับ ซึ่งปัจจุบันนี้เราจะหมายถึงสาร Hyaluronic Acid หรือเรียกสั้นๆว่า HA เป็นสารสังเคราะห์ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อใช้ในการชะลอวัย เติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่างๆ หรือช่วยในการปรับโครงสร้างใบหน้าครับ

โดยสาร HA หรือ Hyaluronic Acid นั้นจัดเป็นสารโพลีแซคคาไรด์ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเรานั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ โดยพบมากที่บริเวณชั้นผิวหนังสูงถึง 50% และนอกจากนี้ยังพบได้ใน ข้อต่อต่างๆ น้ำเลี้ยงในเบ้าตา (Vitreous Humor) อีกด้วย

และที่สำคัญคือ เมื่อเราอายุมากขึ้นเช่นเดียวกับโครงสร้างอื่นๆ คือ ไขมัน กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นใยคอลลาเจน นั้นสาร HA ในร่างกายของเราก็ลดลงเองเช่นเดียวกัน จึงทำให้ใบหน้า ผิวหนังของเราเมื่ออายุมากขึ้นเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเทียบกับตอนสมัยวัยรุ่นอย่างเป็นคนละคนเลยครับ

ประเภทของ ฟิลเลอร์

ในปัจจุบัน สามารถจัดประเภทของ ฟิลเลอร์ ได้ดังนี้ครับ

 
ฟิลเลอร์ ชนิด Hyaluronic acids

Hyaluronic Acid หรือ HA

เป็นฟิลเลอร์ที่ปัจจุบันนิยมใช้มากที่สุด ปลอดภัยมากที่สุดในตอนนี้ครับ โดยสาร HA เนี่ยค้นพบครั้งแรกเลยต้องย้อนไปปี 1934 โดยสกัดแยกได้ออกมาจากน้ำเลี้ยงในเบ้าตาของวัวสาร HA สามารถสกัดออกมาจากสัตว์ ซึ่งเป็นสาร HA ธรรมชาติ หรือ สังเคราะห์ขึ้นมาจาก แบคทีเรีย ดยคุณสมบัติพิเศษของสาร HA คือเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ทำใ้ห้เกิดอาการแพ้ และสามารถสลายเองได้อย่างเป็นธรรมชาติครับ โดยสาร HA เป็นสารเดียวที่ได้รับการยอมรับจาก USFDA และ องค์การอาหารและยา ของไทยว่าใช้ได้อย่างปลอดภัยครับ

Calcium Hydroxylapatite

เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการเติมเต็มครับ พบการใช้ได้ในต่างประเทศ โดยสารนี้เราจะพบได้ในกระดูกของเรานั่นเอง

โดยสาร Calcium Hydroxylapatite นั้นเมื่อนำมาทำเป็น Filler นั้นเราจะใช้แต่สารสังเคราะห์เท่านั้น เพื่อป้องกันอาการแพ้นั้นเอง โดย Calcium Hydroxylptite มีข้อดีคือมีความคงตัวสูง และมันนิยมใช้ในวงการ หมอฟัน หรือ ทางการผ่าตัดกระดูกครับ

 
 
 

Polyakylimide

เป็นสารฟิลเลอร์ ชนิดกึ่งถาวร มีความคงตัวสูง อยู้ได้นาน แต่มีข้อเสียคือ สามารถเกิดอาการแพ้ได้ และถ้ามีปัญหาหลังฉีด จะแก้ไขได้ยากครับ

Polylactic Acids

สารตัวนี้เป็นสารสังเคราะห์ครับ และเป็นฟิลเลอร์ ชนิดกึ่งถาวร มีข้อดีคือ ทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจน และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ สามารถสลายเองได้ แต่มีข้อเสียคือ ไม่เห็นผลหลังทำทันที และอาจต้องรับการรักษาหลายครั้งถึงจะได้ผลที่น่าพอใจครับ

 

ประเภทของ Hyaluronic Acid

เคยสงสัยมั้ยครับว่า ไปหาคุณหมอแต่ละที คุณหมอจะต้องคิดว่า เอ๊ะ คนนี้จะต้องใช้ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ชนิดไหนดี ถึงจะเหมาะสม

ก็เพราะว่า สาร HA ที่เอามาทำเป็นฟิลเลอร์ นั้นเราสามารถสร้างออกมาได้หลายชนิด หลายคุณสมบัติ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และตำแหน่งการฉีดแต่ละตำแหน่งนั้นเองครับ ว่าแต่ชนิดของ HA แต่ละชนิดต่างกันยังไง มีกี่ชนิด มาดูกันเลยครับ

  1. Non-Crosslinked HA คือสาร Hyaluronic Acid แบบบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้คงตัวครับ พูดง่ายๆคือ HA ชนิดนี้จะมีความเหลว ไม่ขึ้นรูป และสลายตัวได้ง่ายหลังฉีดเข้าไป โดย HA แบบนี้หมอจะนิยมใช้ในกลุ่มการทำ Mesotherapy เพื่อช่วยให้ผิวสดใส อุ้มน้ำ ผิวดูโกลว์สวย เหมือนสาวเกาหลียังไงล่ะครับ

  2. Crosslinked HA คือสาร HA ที่ผ่านกระบวนการทำให้มีความคงตัว คงรูป เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานเพื่อเพิ่ม Volume แก้ปัญหาร่องลึก ริ้วรอยต่างๆ แก้ปัญหาโครงสร้างใบหน้า ฉีดเติมเต็ม โดยมีข้อดีคืออยู้ได้นานตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี เลยทีเดียวครับ

โดย HA แบบ Crosslinked เนี่ยเรายังสามารถแบ่งประเภทได้อีก 2 แบบใหญ่ๆ คือ

 
ฟิลเลอร์ ชนิด Monophasic

Monophasic. HA

คือ HA ที่ประกอบไปด้วย Crosslinked HA ทั้งหมด (Homogeneous Mixture) และเป็นเทคโนโลยีฟิลเลอร์ที่ใหม่ที่สุด ที่ได้โมเลกุของเนื้อฟิลเลอร์ออกมาเป็นเนื้อเจลทั้งหมด จึงทำให้เนื้อฟิลเลอร์ แบบ Monophasic ดูเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ฉีดง่าย ฉีดในผิวชั้นตื้นดีกว่าแบบ Biphasic เวลาฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติครับ ข้อเสียคือ Filler แบบนี้ในบางความเข้มข้น มักมีอายุสั้นอยู้ได้ไม่นาน แต่มีข้อได้เปรียนเรื่องการกระจายตัวยา ได้ดี เกลี่ยง่าย เป็นธรรมชาติสุดๆ ครับ

Biphasic HA

คือ HA ที่ประกอบไปด้วย Crosslinked และ Non-Crosslinked HA เข้าด้วยกัน (Heterogeneous Mixture) โดยจะได้โมเลกุลของฟิลเลอร์ทั้งในแบบ อนุภาค (Particle) และ เนื้อเจล รวมกัน ซึ่งฟิลเลอร์ แบบนี้เหมาะมากเลยครับสำหรับการฉีดในชั้นลึก เพื่อเพิ่ม Volume เติมเต็ม อีกทั้งยังอยู่ได้นานอีกด้วย

 

คุณสมบัติเฉพาะพิเศษของ Filler

นอกจากนี้ เรายังต้องดูคุณสมบัติที่สำคัญของฟิลเลอร์ ที่เรียกว่า Rheology ตัวนี้สำคัญมากครับ ที่จะบอกว่าฟิลเลอร์ตัวนี้เหมาะสำหรับผิวแบบไหน ฉีดตำแหน่งใด อยู่ได้นานแค่ไหน ครับ

  1. Elastic Modulus ในวงคุณหมอจะเรียกสั้นๆ ว่าค่า G’ ( G Prime) คือค่าความยืดหยุ่นของเนื้อฟิลเลอร์

  2. Viscosity หรือ G” ( G 2 Prime ) คือค่าความหนืด ของเนื้อฟิลเลอร์ โดยเป้นค่าตรงข้ามกับค่า G’ ครับ

  3. Complex Modulus ( G*) คือค่าการต้านทานการเปลี่ยนรูปของเนื้อฟิลเลอร์ หรือพูดง่ายๆ คือค่าที่เกิดจากผลรวมของ G’ กับ G” นั่นเองครับ

  4. Cohesivity คือค่าที่บ่งบอกความแข็งแรงของพันธะ Crosslinked ครับ ซี่งฟิลเลอร์ ที่มีค่า Cohesivity สูงก็จะมีการ Projection มากตามไปด้วย (พูดง่ายๆ คือ ฉีดแล้วดูเต็ม ดูพุ่งเร็วนั่นเอง)

ซึ่งจากหลักการของ Rheology เบื้องต้นนั้น เราสามารถสรุปเป็นตัวอย่างง่ายๆ ดังนี้

  • ถ้าอยากเติมร่องลึก Volume เติมเต็มเยอะๆ จะต้องใช้ ฟิลเลอร์ ที่มีค่า Cohesivity สูง และมี ค่า G* ต่ำ ( พุ่งเยอะ เกลี่ยยาก)

  • ถ้าอยากฉีดตื้นๆ เน้นงานผิว เก็บริ้วเล็กๆ ต้องใช้ ฟิลเลอร์ ที่ Cohesivity ต่ำ ค่า G* สูง ( พุ่งน้อย เกลี่ยง่าย) นั่นเองครับ

 
 
 

 

ฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

หลายๆคนอาจเข้าใจว่า ฟิลเลอร์ ช่วยแค่เรื่องเติมเต็มในเฉพาะส่วนที่ต้องการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว ฟิลเลอร์ สามารถแก้ไขปัญหาได้ในเรื่องดังต่อไปนี้ครับ

  1. ปรับโครงสร้างใบหน้า ปรับรูปหน้า โดยเฉพาะจุดที่มีปัญหาในเรื่องของกระดูกที่ทรุดตัวตามวัย เช่น กระดูกหน้าแก้ม หรือ การปรับแต่งโครงสร้างใบหน้า ให้เด่นชัดขึ้น เช่น การเสริมบริเวณ กระดูกส่วนคาง การเสริมบริเวณ กระดูกกรอบหน้า ให้คมชัดขึ้น

  2. เติมเต็มใบหน้า ในจุดที่ขาดวอลลุ่ม เช่น การเติมเต็มปัญหาแก้มตอบ การเติมเต็มบริเวณรอบดวงตา

  3. ฟื้นฟูผิวเสีย เติมน้ำให้ผิว ( Skin Rejuvenation ) ในกลุ่มนี้เราจะใช้ ฟิลเลอร์ เนื้ออ่อนชนิดพิเศษ ทำการรักษาในผิวชั้นตื้น ช่วยให้ผิวสดใส ดูโกลว อ่อนเยาว์ ครับ

ฟิลเลอร์ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งในร่างกาย โดยเฉพาะในบริเวณที่เกิดร่องลึก ริ้วรอย หรือตำแหน่งที่ต้องการเติมเต็มให้ดูอิ่มฟูขึ้น บริเวณต่อไปนี้ครับ

ฟิลเลอร์ ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง
  1. ใต้ตา ฟิลเลอร์ จะช่วยเข้ามาฟื้นฟู และเติมเต็ม ความหมองคล้ำใต้ตา หรือจัดการปัญหาถุงใต้ตา ร่องตาลึกให้สดใสขึ้น

  2. ปาก นิยมฉีดเพื่อปรับแต่งรูปทรงปากให้ดูอวบขึ้น หนาขึ้น หรือจัดการริ้วรอยบริเวณขอบปาก

  3. คาง ช่วยปรับแต่งรูปทรงคางให้ดูสมดุลกับใบหน้า ไม่เบี้ยวและไม่สั้นจนเกินไป

  4. ร่องแก้ม เติมเต็มบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง

  5. แก้มตอบ เพิ่มวอลลุ่ม เติมเต็มบริเวณแก้มตอบ ให้ดูอ่อนกว่าวัย มีน้ำมีนวล

  6. หน้าผาก ปรับหน้าผากให้เข้ารูป ดูโดดเด่น เข้ารูปรับกับโครงหน้า หรือปรับเพื่อเสริมโหงวเฮ้งตามความเชื่อ

  7. ขมับ แก้ปัญหาการยุบตัวของผิวบริเวณขมับให้ใบหน้าได้สัดส่วนที่สมดุล ดูอ่อนกว่าวัย

  8. กรอบหน้า ช่วยปรับให้กรอบหน้ามีความชัด หรือมี V-Shape ดูมีมิติ

  9. มือ ฟื้นฟูรอยเหี่ยวย่นให้กลับมาเต่งตึง กระชับ

  10. คอ แก้รอยเหี่ยวย่นบริเวณคอให้กลับมาเรียบเนียน

  11. หลุมสิว ช่วยจัดการหลุมสิวให้ผิวเรียบเนียน

  12. ปรับสภาพผิว ฟื้นฟูปรับสภาพผิวให้กลับมากระจ่างใส ดูสุขภาพดี

ฉีดฟิลเลอร์ใช้กี่ CC

ฟิลเลอร์ ต้องใช้กี่ CC

ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ฉีดจะพิจารณาจากปัจจัยดังนี้ครับ

  1. ปัญหาที่ต้องการแก้ไข

  2. รูปหน้าของแต่ละคน

  3. ตำแหน่งที่ต้องการฉีด

  4. ความคาดหวังต้องการเติมเต็มหรือฟื้นฟูมากน้อยแค่ไหน

โดยคุณหมอจะพิจารณาจำนวน cc ให้หลังจากที่ประเมินการรักษาครับ

ใครบ้างที่ควรฉีด ฟิลเลอร์

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิว ต้องการลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา ร่องลึกมุมปาก

  2. ผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับแต่งรูปหน้า เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม และยังช่วยทำให้แก้มดูตอบได้

  3. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าให้กลับมาคงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง

  4. ผู้ที่มีปัญหากังวลเรื่องรูขุมขน หลุมสิวบนใบหน้า

ข้อห้ามของการฉีด ฟิลเลอร์

  1. ประวัติแพ้ยาชา เพราะว่า ฟิลเลอร์บางชนิดมียาชาผสมในตัวยาครับ หากคนไข้มีประวัติแพ้ยาชา หรือแพ้ยาอะไรก็ตาม ควรแจ้งคุณหมอให้ละเอียดก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อความปลอดภัยครับ

  2. งดทานยาหรือวิตามิน หากกำลังทานยาหรือวิตามิน ใช้ครีมหรือเวชภัณฑ์ ควรแจ้งคุณหมอให้ทราบ เพราะยาบางตัวอาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาในกลุ่มวิตามินอี ซึ่งทำให้หลังการฉีดอาจเกิดรอยช้ำได้

  3. ตั้งครรภ์ / ให้นมบุตร สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ จะยังไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ในกรณีที่เป็นคุณแม่ให้นมบุตร จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอว่าสามารถฉีดได้หรือไม่

 

 

ฉีด ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ในปัจจุบันนี้ มีฟิลเลอร์หลายเนื้อ หลายเทคโนโลยีการผลิต หลากหลายแบรนด์ ให้เลือกใช้ครับ โดยหมอขอแนะนำแบรนด์ หลักๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดังนี้ครับ

Restylane

ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) เกาหลีใต้ และ อย. ไทย (TH FDA) รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสหภาพยุโรป (EDQM)

ฟิลเลอร์ Restylane

โดยจุดเด่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้คือขนาดโมเลกุลฟิลเลอร์ และการใช้เทคโนโลยี NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid) และ OBT (Optimal Balance Technology) มาช่วยเติมเต็มใบหน้าที่เกิดริ้วรอย มีร่องลึกให้เต็มขึ้นและดูเรียบเนียน และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ยาวนาน นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ยังมีรุ่นพิเศษ ที่เนื้อฟิลเลอร์ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาริมฝีปากโดยเฉพาะ เพราะเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัวสูง สามารถช่วยสร้างริมฝีปากให้อวบอิ่ม ชัดเจนขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอีกด้วย

ฟิลเลอร์ Restylane NASHA และ OBT ต่างกันอย่างไร

ข้อแตกต่างระหว่างเทคโนโลยี NASHA และ OBT

NASHA Technology คือเทคโนโลยีที่มีลักษณะเป็นเจลคงรูป มีความคงตัวและขึ้นรูปได้ดี ช่วยยกกระชับ และช่วยเติมเต็มริ้วรอยได้จนถึงระดับลึก อยู่ได้ยาวนาน ในขณะที่ OBT Technology คือเทคโนโลยีการสร้างเนื้อเจลแบบอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น ปรับทรงได้หลากหลาย เหมาะสำหรับเติมเต็มบริเวณใบหน้าที่มีการเคลื่อนไหว หรือคนที่มีผิวบอบบาง เช่น รอบริมฝีปาก รอบปาก ร่องแก้ม ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน

โดยฟิลเลอร์ Restylane สามารถแบ่งรุ่นตามเทคโนโลยีได้ดังนี้

NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid)

Restylane Lyft เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัวดี แรงยกสูง ยกกระชับได้สูง หลังฉีดไม่ฟู เหมาะสำหรับฉีดชั้นลึก เพื่อแก้ไข หรือ ปรับโครงสร้างใบหน้า สามารถอยู่ได้ประมาณ 12 ถึง 18 เดือน และสามารถย่อยสลายได้เอง เหมาะสำหรับ

  • การฉีดใต้ตาชั้นลึก จมูก คาง แก้ม ขมับ สร้างกรอบหน้า

  • ยกกระชับรูปหน้า ยกผิวที่หย่อนคล้อย

Restylane Lidocaine เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีเนื้อเจลมีลักษณะแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับเติมเต็ม เพิ่มวอลลุ่ม สามารถอยู่ได้ประมาณ 12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • การฉีดใต้ตาในชั้นผิวลึก ปาก ร่องแก้ม ร่องขมวดคิ้ว และลดริ้วรอยชั้นผิวระดับปานกลางถึงมาก

Restylane Vital Light เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีเนื้อเจลมีลักษณะอนุภาคเล็ก เนื้อละเอียดมากที่สุด สามารถฉีดเพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น หรือใช้เติมเต็มบริเวณผิวที่มีความบอบบาง สามารถอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • การฉีดเก็บรายละเอียด เช่น ใต้ตา ผิวชั้นตื้น ริมฝีปากเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

  • การฉีดแก้ไขจุดที่มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ใช้สำหรับคนไข้ที่มีผิวบาง

Restylane Vital เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ช่วยปรับความชุ่มชื้นผิว เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ สามารถอยู่ได้ประมาณ 12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • การฉีดหน้าผาก ใต้ตา

  • เติมเต็มเรื่องผิว ลดริ้วรอย ไม่เรียบเนียน หลุมสิว

OBT (Optimal Balance Technology)

Restylane Refyne เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีลักษณะเนื้อเจลมีความยืดหยุ่นดี และค่อนข้างกลืนกับผิว สามารถอยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • เติมเต็มริ้วรอย และร่องแก้ม โดยเฉพาะรอยลึกที่เกิดจากการยิ้ม

Restylane Volyme เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์นิ่ม ค่อนข้างฟู เน้นการเติมเต็มชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้อิ่มฟู สามารถอยู่ได้ประมาณ 18 เดือน เหมาะสำหรับ

  • เติมเต็มส่วนที่ตอบ หรือโหลลึก เช่น แก้มตอบ ขมับตอบ ร่องแก้ม ปาก มุมปาก

Restylane Defyne เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีลักษณะเนื้อของฟิลเลอร์ค่อนข้างแข็ง เนื้อเจลมีความนิ่มปานกลาง อุ้มน้ำได้มาก มีความยืดหยุ่นสูง สามารถอยู่ได้ประมาณ 18 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ฉีดกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก ใช้ฉีดใต้ตา ปาก

  • เติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หน้าแก้ม

Restylane Kysse เป็นรุ่นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัว ไม่เป็นก้อน สามารถอยู่ได้ประมาณ 12 เดือน โดยฟิลเลอร์ Restylane รุ่น Kysse ออกแบบมาเพื่อฉีดปากโดยเฉพาะ สามารถปรับรูปทรงของปากได้ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากอีกด้วย

 
 
ฟิลเลอร์ Yvoire

YVOIRE

ฟิลเลอร์ YVOIRE เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ เกาหลี (DMF)

YVOIRE Filler เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ดูเป็นธรรมชาติ มีโมเลกุลใกล้เคียงกับ Hyaluronic Acid ในเนื้อเยื่อและผิวหนังของมนุษย์ จุดเด่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อ YVOIRE นี้คือการใช้ HICE Technology ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ อีกทั้งฟิลเลอร์ YVOIRE นี้ยังมีเทคโนโลยี Cross-link ทำให้ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะได้อย่างดี มีความคงทน ไม่สลายตัวง่าย และช่วยยกกระชับผิว

ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ยี่ห้อ YVOIRE ที่ผ่านอย. ในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 รุ่น ดังนี้

YVOIRE Classic Plus ฟิลเลอร์เนื้อเนียน ละเอียด มีความเป็นธรรมชาติสูง เหมาะสำหรับ

  • ฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา แก้ปัญหาเบ้าตาลึก

  • เติมเต็มบริเวณระหว่างคิ้ว หางตา และรอยปาก

  • ช่วยลดความหมองคล้ำ เติมความชุ่มชื้นให้ผิวหนังชั้นตื้น

  • สามารถอยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน

YVOIRE Volume Plus เป็นฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก สามารถอยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ฉีดบริเวณกลางใบหน้า เสริมหน้าผาก ขมับ

  • เติมเต็มร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องน้ำหมาก

  • ปรับรูปริมฝีปาก

YVOIRE Contour เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีความคงตัวสูง แรงยกสูง ไม่ฟู คงตัวได้ดี ฉีดแล้วไม่ไหลย้อยไปบริเวณอื่น เหมาะสำหรับฉีดชั้นลึก เพื่อปรับรูปหน้า ปรับโครงสร้างใบหน้า สามารถอยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ฉีดบริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม เสริมคาง

  • ฉีดกรอบหน้าให้ชัดขึ้น

 
 
ฟิลเลอร์ e.p.t.q

e.p.t.q.

ฟิลเลอร์ e.p.t.q เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) โดย e.p.t.q. filler เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยร่องลึก รอยพับบนใบหน้า จุดเด่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อ e.p.t.q. คือมีสาร Hyaluronic Acid (HA) สูงถึง 24 mg/ml และทุกรุ่นจะมียาชา 0.3% (Lidocaine) ผสมมาแล้วเรียบร้อย ทำให้บรรเทาความเจ็บขณะฉีด อีกทั้งฟิลเลอร์ยี่ห้อ e.p.t.q. นี้ยังมีเทคโนโลยีการ Cross-link ที่ทำให้ได้ค่า MoD ต่ำ โดยฟิลเลอร์ e.p.t.q. มีค่า MoD~1% ทำให้มีความปลอดภัยสูง ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพ้ได้

ในปัจจุบันฟิลเลอร์ e.p.t.q. ที่ผ่านอย. มีทั้งหมดด้วยกัน 3 รุ่น ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของสภาพผิว ดังนี้

e.p.t.q. S100 เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเบาบางที่สุด มีเนื้อที่ละเอียด นิ่ม และยืดหยุ่นได้ดี สามารถเติมเต็มริ้วรอยต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียบเนียนไปกับผิว อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ใช้ฉีดใต้ตา บริเวณหน้าผาก ขมับ และยังสามารถใช้ฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ปากได้อีกด้วย

e.p.t.q. S300 เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อไม่แข็งหรือไม่นิ่มจนเกินไป อยู่ในระดับปานกลาง สามารถคงตัวได้นาน อยู่ได้ประมาณ 8 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ฉีดบริเวณหน้าผาก ขมับ แก้ปัญหาแก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และขอบปาก

e.p.t.q. S500 เป็นฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นที่สุด มีแรงยกผิวสูง เหมาะสำหรับปรับโครงสร้างใบหน้า อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน เหมาะสำหรับ

  • ฉีดบริเวณแนวกระดูกกราม ปรับรูปหน้า ขมับ คาง ใต้ตาลึก ร่องน้ำหมาก และแก้ปัญหาร่องแก้มลึก

 
 
 

 

ฉีด ฟิลเลอร์ อันตรายไหม

ฟิลเลอร์ อันตรายไหม

ข้อนี้หมอขอตอบเลยว่า ไม่อันตรายเลยครับ เพราะด้วยคุณสมบัติของสาร HA ที่นำมาใช้ทำฟิลเลอร์ นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติครับ แต่ทั้งนี้หมอขอฝากเตือนนิดนึงว่า ก่อนฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้งต้องสังเกตสิ่งเหล่านี้ให้ดีก่อนครับ

  1. ความน่าเชื่อถือของผู้ฉีด หมอที่ทำการฉีด จบหมอจริงหรือเปล่า มีความน่าเชื่อถือ ความชำนาญมากแค่ไหน อย่าไปเสี่ยงฉีดกับหมอกระเป๋าที่ไม่มีความชำนาญ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญครับ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ครับ

  2. พิจารณาที่ราคาขายของฟิลเลอร์ครับ อยากจะบอกว่า ฟิลเลอร์ของแท้นี่ต้นทุนจริงๆ สูงมากนะครับ เพราะกว่าจะคิดค้น วิจัย ทดสอบสาร กว่าจะได้เป็นฟิลเลอร์ 1 หลอดออกมาเสียค่าใช้จ่ายสูงมากครับ ดังนั้นหมอขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ฟิลเลอร์ที่ราคาถูกจนน่าตกใจ ระวังจะได้ฟิลเลอร์ปลอม หรือ ซิลิโคนเหลวมาแทน ซึ่งเสี่ยงต่ออากการแพ้ และถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว แก้ยากมากครับ

ขั้นตอนการฉีด ฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง

  1. ปรึกษาคุณหมอถึงปัญหาที่ต้องการแก้ หรือ บริเวณที่ต้องการแก้ หรือ ฉีดฟิลเลอร์ครับ โดยคุณหมอจะประเมินถึงความจำเป็นที่จะต้องทำหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ต้องใช้ฟิลเลอร์ตัวไหน ปริมาณเท่าไหร่ครับ

    ถ้าใครไม่มีเวลา สามารถส่งรูปมาใ้ห้คุณหมอประเมินก่อนได้เลยครับ คลิกที่นี่เลย คุณหมอดูเอง ตอบเองครับ

  2. ต่อมาก็จะทำความสะอาดหน้า ก่อนฉีดครับ

  3. ถ้าคนไหนฉีดหลายตำแหน่ง หรือฉีดหลายหลอด หมอแนะนำแปะยาชาเพื่อลดความเจ็บอย่างน้อย 30 นาทีครับ

  4. ก่อนเริ่มฉีดฟิลเลอร์ อย่าลืมตรวจสอบว่าเป็นของแท้ทุกครั้งนะครับ

  5. คุณหมอจะทำการฉีดยาชาให้อีกครั้ง เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างทำครับ

  6. ฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว อย่าลืมฟังคุณหมออธิบายวิธีการดูแลตัวหลังฉีดให้ดีด้วยนะครับ

เตรียมตัวก่อนฉีด ฟิลเลอร์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แนะนำเตรียมตัวดังนี้ก่อนครับ

  1. งดเครื่องดื่มแอลกอฮฮลล์ เครื่อดื่มชูกำลัง ชา กาแฟ ก่อนฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

  2. งดยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS, Aspirin, Ibuprofen, Ponstan, Diclofenac เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำ

  3. งดการรับประทานอาหารเสริมอย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ

  4. งดการ แวกซ์ผิว สครับผิว หรือใช้สารผลัดเซลล์ผิวกลุ่ม AHA กรดวิตามิน A Tretinoin Retinols ทุกชนิดอย่้างน้อย 1 สัปดาห์

อาการข้างเคียงหลังฉีด ฟิลเลอร์

หลังจากฉีด ฟิลเลอร์ อาจพบอาการดังต่อไปนี้ครับ

  1. ภาวะฟกช้ำ เกิดจากเข็มผ่านเส้นเลือด

  2. เส้นเลือดอุดตัน อาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย และอาจเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตาทำให้ตาบอดได้ ซึ่งภาวะนี้พบได้ไม่บ่อย และมักพบจากการทำฟิลเลอร์ จากผู้ที่ไม่ใช่หมอ เช่น หมอกระเป๋า หรือ หมอเถื่อน ครับ

  3. อาจมีอาการปวด บวมแดง นูน เป็นก้อน ซึ่งอาจพบได้ 3-4 วันหลังฉีด

  4. การติดเชื้อเฉียบพลัน บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ถ้ามีการติดเชื้อ ต้องรีบปรึกษาคุณหมอเลยครับ

หลังฉีดฟิลเลอร์ ต้องดูแลอย่างไรบ้าง

  1. งดแต่งหน้า ทาครีมบำรุงหลังฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อให้ปากแผลปิดสนิท ป้องกันการติดเชื้อครับ

  2. งดการสครับหน้า ล้างหน้าแรงๆ 3-5 วัน

  3. อย่าบีบ นวด กด บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ถ้ามีบวมผิดปกติ ให้ปรึกษาคุณหมอเท่านั้นครับ

  4. งดออกกำลังกายหนักๆ ว่ายน้ำ 48-72 ชั่วโมงแรก

  5. งดเข้าห้องสตีม ซาวน่า หรืออยู่ในที่ร้อนจัด 2 สัปดาห์

  6. งดนวดหน้า ทรีทเม้นท์หน้า เลเซอร์ HIFU หน้า 2 สัปดาห์

  7. อย่าลืมทานน้ำสะอาด น้ำเปล่าเยอะๆ 2-3 ลิตรต่อวัน ในช่วง 1 อาทิตย์แรก เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟู อุ้มน้ำได้ดี เห็นผลลัพธ์ดีครับ

  8. หลีกเลี่ยงทานของหมักดอง ของดิบ ปลาร้า ช่วง 1 เดือนแรก

  9. หลังฟิลเลอร์ปาก งดทานอาหารร้อน อาหารรสจัด หรือใช้หลอดดูด อย่างน้อย 3-5 วัน

  10. อย่าลืมทานยาฆ่าเชื้อที่คุณหมอให้ ทานให้ครบนะครับ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

 
 

 

รีวิว เคสฟิลเลอร์

 
 
 

 

คำถามที่พบบ่อย

  • ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหน้าบริเวณต่างๆ เช่น ปาก ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก ขมับ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยต่างๆ ร่องลึกบริเวณใบหน้าให้ดูเรียบเนียน ผิวดูชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้ดูได้สัดส่วนมากขึ้น

  • ฟิลเลอร์ ทำหน้าที่เข้าไปทดแทน หรือ เติมเต็ม เพื่อแก้ไขโครงสร้าง หรือ ปัญหาของบริเวณใบหน้รา ที่ต้องการแก้ไขครับ

  • ฟิลเลอร์ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ คือ แบบชั่วคราว เช่น ฟิลเลอร์ จาก HA หรือ Hyaluronic Acid ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน, แบบกึ่งถาวร และ แบบถาวร ซึ่ง ปัจจุบันไม่นิยมใช้กันครับ

  • ปัจจุบันนี้เรานิยมฉีด ฟิลเลอร์ ในบริเวณนี้คือ หน้าแก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา คาง แก้มตอบ ขมับ หน้าผาก ริมฝีปาก สะโพก และ หลังมือ ครับ

  • โดยทั่วไป ในตัวยาฟิลเลอร์ จะมียาชาในตัว ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บระหว่างฉีดครับ

  • ระยะเวลาของ ฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับ บริเวณที่แก้ไขปัญหา รวมไปถึง ลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ ครับ โดยการฉีดชั้นลึก เช่น ชั้นเหนือกระดูก และ การใช้ฟิลเลอร์ เนื้อแข็ง จะมีอายุนานสุด โดยเฉลี่ย 12-18 เดือน ครับ

  • ที่พบได้บ่อย จะเป็นอาการ บวม ฟก ช้ำ หลังฉีดครับ ส่วนอาการรุนแรง เช่นอาการอุดตันเส้นเลือด มักพบได้ไม่บ่อย และมักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ จากผู้ไม่มีใบอนุญาต เช่น หมอกระเป๋า หมอเถื่อน ครับ

  • การฉีดฟิลเลอร์ราคาในแต่ละจุดจะแตกต่างกัน รวมไปถึงยี่ห้อ รุ่น ที่เลือกใช้ก็จะมีราคาแตกต่างกันเช่นกันครับ

ถ้าใครยังกังวลใจเรื่องฟิลเลอร์ อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม อยากรู้ว่าต้องเติมตรงจุดไหนบ้าง ต้องใช้เท่าไหร่ สามารถส่งรูป และ คำถาม ที่นี่ หมอช่วยประเมินให้เองครับ

 
 
 

 

จองคิวปรึกษาคุณหมอ

DISCOVER YOUR ELEGANCE

ค้นพบความสง่างามในตัวคุณ จองคิวเพื่อพบคุณหมอของเราตอนนี้ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

สาขาบางนา โทร 0928576683

สาขาทองหล่อ โทร 0989767698

 

 

คุณหมอแนะนำให้อ่าน

Gouri คืออะไร ดีอย่างไร

> อ่านเพิ่มเติม

ร้อยไหม ปรับรูปหน้า คืออะไร

> อ่านเพิ่มเติม

ยกกระชับไม่ง้อเข็ม ด้วย HIFU

> อ่านเพิ่มเติม